MM0038
လူထုဦးလှ
นานมาแล้วมีครอบครัวยากจนคู่หนึ่งอาสัยอยู่ในชนบทใกล้เมืองเชียงตุง ทั้งคู่มีลูกสาวที่รูปร่างหน้าตาสวยงาม ทั้งคู่มักสอนลูกสาวให้ยึดถือในสติปัญญาอยู่เสมอไม่ว่าจะทำเรื่องใดๆ รวมถึงเรื่องการเลือกคู่ครอง อยู่มาวันหนึ่งในขณะที่สองสามีภรรยาออกทำงาน ได้ทิ้งลูกสาวอยู่บ้านเพียงลำพัง ได้มีเสือขึ้นมาบนบ้านตะปบและคาบตัวนางออกไป ในขณะนั้นนางได้นึกถึงคุณบิดามารดาและคุณของรัตนตรัย ทำให้เสือปล่อยตัวนาง จากนั้นนางจึงตีดสินใจว่าจะอยู่ในศีลในธรรมตลอดไป จนถึงวัยที่ต้องออกเรือน พ่อแม่ก็กังวลว่านางจะไม่มีผู้เลี้ยงดูในยามแก่เฒ่า แต่ลูกสาวก็ไม่สามารถหาสามีได้ นางจึงได้อธิฐานขอลูกจากเทพ ระยะเวลาผ่านไปนางก็ได้ให้กำเนิดลูกชายชื่อ “ซายขุนลอ” เมื่อซายขุนลอเติบโตขึ้น ตายายและแม่ของเขาได้ไปฝากเป็นเด็กเลี้ยงวัวที่บ้านของเศรษฐีคนหนึ่งในเมืองเชียงตุง เศรษฐีเห็นว่านายขุนลอเป็นคนขยันเอางานเอาการจึงขอไว้เลี้ยงเป็นลูก ในขณะนั้นในเมืองเชียงตุงไม่มีผู้ใดรูปงามเท่าซายขุนลออีกแล้ว ซายขุนลอจึงเป็นที่หมายปองของบรรดาสาวโสดในเมือง ทุกคนพยายามทำให้ซายขุนลอสนใจ แต่มีหญิงสาวคนหนึ่งชื่อว่า “นาง อูปี่น” นางอยากได้ซายขุนลอมาเป็นสามีมากถึงขนาดเข้าไปคอยประจบคุณหญิงที่เป็นภรรยาของเศรษฐี ภรรยาของเศรษฐีเห็นว่านางอูปี่นเป็นคนเอางานเอาการตั้งใจว่าจะเอาไว้ใช้งานภายในบ้าน จึงหมายใจว่าจะให้ซายขุนลอแต่งงานกับนางอูปี่น ก่อนแต่งงานซายขุนลอจึงขอไปทำการค้ายังต่างเมือง โดยขอเงินไปลงทุนก้อนหนึ่ง ภรรยาของเศรษฐีก็อนุญาต เขาได้นำเงินไปซื้อฝูงวัวและลงทุนเดินทางค้าขายใบชาไปเรื่อยๆ จนมาถึงที่เมืองหม่ายก่าย เมืองหม่ายก่ายเป็นเมืองที่ดินดีปลูกอไรก็อุดมสมบูรณ์ เขาจึงตั้งใจว่าจะลงทุนปลูกใบชาที่เมืองนี้ ที่เมืองหม่ายก่ายเขาได้พบกับหญิงสาวชื่อนาง อูปี่นเช่นกัน นางอูปี่นคนนี้มีหน้าตาสวยงาม และทั้งสองก็ได้ตกลงอยู่กินกันฉันสามีภรรยา ตามคำอนุญาตของพ่อแม่ฝ่ายหญิง เมื่อใช้ชีวิตคู่ไปได้หนึ่งปี ซายขุนลอก็ได้เกิดคิดถึงพ่อแม่บุญธรรมที่เมืองเชียงตุง จึงได้ขอภรรยาว่าอยากจะกลับไปเยี่ยมพ่อแม่ที่เมืองเชียงตุงสักเจ็ดวัน นางอู่ปี่นก็อนุญาตและไม่ได้ตามไปด้วย เมื่อถึงบ้าน ซายขุนลอได้บอกกับพ่อแม่ว่าตนได้แต่งงานมีภรรยาแล้วที่มืองหม่ายก่าย ภรรยาของเศรษฐีโกรธมากเนื่องจากตนหาผู้หญิงไว้ให้ก่อนหน้านี้แล้ว จึงสั่งห้ามซายขุนลอไม่ใหเดินทางกลับเมืองหม่ายก่ายอีก จนเวลาล่วงเลยครบเจ็ดวันยังไม่เห็นสามีกลับมานางอูปี่นจึงตามสามีมาที่เมืองเชียงตุง เมื่อเดินทางมาถึงก็ได้รับการต้อนรับจากบ้านสามีเป็นอย่างดี แต่ในใจของภรรยาเศรษฐีก็คิดว่าจะต้องแกล้งลูกสะใภ้ให้ทนอยู่ที่นี่ไม่ได้ วันหนึ่งซายขุนลอต้องออกไปทวงนี้ในต่างถิ่น ภรรยาเศรษฐีก็ได้กลั่นแกล้งลูกสะใภ้ด้วยการเอาไม้ไผ่ที่เหลาจนคมซ่อนไว้ในหม้อข้าวสารที่นางจะหุงจนนางได้รับบาดเจ็บ นางอูปี่นเสียใจเดินทางกลับเมืองหม่ายก่ายไปหาพ่อแม่โดยไม่รอสามีกลับมา ในระหว่างทางกลับบ้าน นางอูปี่นที่มีท้องแก่ ได้คลอดลูกออกมากลางทาง แต่อยู่ได้ไม่นานก็ตาย นางอูปี่นได้อธิษฐานใหลูกเกิดไปเป็นนกที่คอยเรียกชื่อพ่ออยู่ตลอด จากนั้นนางอูปี่นก็รีบเดินทางกลับบ้านต่อ เมื่อถึงบ้านด้วยพิษของบาดแผลที่โดนคมไม้ไผ่เอย ด้วยความอ่อนล้าที่ต้องคลอดลูกกลางทางเอย ด้วยความเศร้าโศรกเสียใจเอย นางอูปี่นก็ได้สิ้นใจ ฝ่ายซายขุนลอเมื่อกลับจากการทวงหนี้ไม่พบภรรยาอยู่ที่บ้าน จึงได้ถามพ่อแม่บุญธรรมได้ความว่าภรรยาตนกลับเมืองไปแล้ว ซายขุนลอจึงรีบตามไป เมื่อถึงเมืองหม่ายก่ายแล้วพบว่าภรรยาของเขาตายแล้ว ซายขุนลอก็ได้ขาดใจตายตามไป พ่อแม่ของนางอูปี่นได้นำศพทั้งสองเตรียมทำพิธีและได้แจ้งพ่อแม่บุญธรรมของซายขุนลอ ทั้งคู่จึงได้เดินทางมาที่เมืองหม่ายก่ายเพื่อร่วมงานศพ ในระหว่างงานศพนั้น ได้นำไม้คานยาวสามศอกมาขั้นกลางระหว่างศพทั้งคู่ เมื่อทั้งคู่ตายไปจึงได้ไปเกิดเป็น “ดาวไม้คานคู่รัก” ตามความเชื่อชาวไทใหญ่ ดาวไม้คานคู่รัก นี้จะมีระยะห่างกันประมานสามศอก และจะเวียนมาใกล้กันทุกๆสามปี
ดวงดาว, คู่รัก, อธิษฐาน
ซายขุนลอ, นางอูปี่น
ความมั่นคงในความรัก
เมืองหม่ายก่าย,เมืองเชียงตุง
MM
MM
TEXT
TEXT
นิทานอธิบายเหตุ